“๑๘ สิงหาคม” วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงปรับปรุงสยามให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงรับเอาศิลปวิทยาการและความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครอง ด้วยเหตุนี้ “องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ” (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์ ล้นเกล้าฯ รัชกาล
ที่ ๔ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ทรงค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) โดยอาศัยหลัก
ตำราสารัมภ์ของมอญ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่าปฏิทินปักขคณนา
ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะมีหอดูดาว โดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงไชย ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป หอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผล ในทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบเวลา โดยพระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๕ ด้วยการสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น มีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนวณเหตุการณ์ล่วงหน้าถึง ๒ ปี ว่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ วันนี้เมื่อ ๑๕๗ ปีที่แล้วจะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย ซึ่งจะเห็นเหตุการณ์ชัดเจนที่สุดที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาที่นั่น และเป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นการกำหนดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๕ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ ๑๘ สิงหาคม ของทุกปีเป็น วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ